yaoi


Junjou Romantica



Nabari no Ou



Kuroshisutji [Black Butler]



Gakuen Heaven



Angel's Feather



Papa to kiss in the dark



Kirepapa



Kashou no tsuki



Sensitive pronograph



Pico OVA 1 - Boku no Pico



Pico OVA 2 - Pino no Chico


Nabari no Ou



Hijutsu (ฮิจุทสึ)

ความรู้ ที่จะเติมเต็มในทุกความปราถนา
กาลเวลา ,ธรรมชาติ หรือ แม้แต่จิตใจมนุษย์พลังนี้ก็สามารถควบคุมมันได้

"หากเจ้าต้องการ"

ชินระบันโช จะตอบสนองเจ้า

Credit : Soulciety subbed Tirkx


-----------------------------------------------------------------------------------------------

หยดน้ำตาลอยไปตามสายลม

มวลเมฆที่ปลิวไปและท้องฟ้าสีฟ้าที่อยู่เหนือแรงเอื้อม

ฉันมองขึ้นไป เพียงลำพัง และอธิษฐานอย่างเงียบงัน

ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่โดยโอบกอดความฝันอันไร้จุดจบนี้เอาไว้


Hikari - ELISA

Nabari no Ou [Ending Theme 1]




“Nabari no Ou” หรือ “ราชานินจา” เป็นเรื่องราวของเด็กผู้ชายสองคน คือ “โรคุโจ มิฮารุ” และ “โยอิเตะ” โชคชะตาดึงให้ทั้งสองมาพบกัน โดยที่มิฮารุนั้น มีสิ่งที่โยอิเตะต้องการที่สุดอยู่



มิฮารุคุงเป็นหนุ่มน้อยร่างเล็กหน้าตาน่ารัก ไม่คิดจะสนใจอะไรทั้งนั้นแม้แต่ตัวเอง เขาเป็นเด็กกำพร้า ทั้งพ่อและแม่เสียชีวิตไปเป็นสิบปีแล้ว และมิฮารุไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับทั้งสองเหลืออยู่เลย ถึงกระนั้น เด็กชายก็เติบโตต่อมาได้อย่างดีด้วยการดูแลของลุงและป้าในร้านโอโคโนมิยากิเล็กๆ

เขาเป็นเด็กเงียบๆ ชอบตีหน้าเฉยเมย แต่พร้อมจะใช้มารยาหนุ่มน้อยผู้น่าสงสาร(?)เล่นงานคนอื่นเสมอ


(นั่น อ.คุโมฮิระผู้ตกเป็นเหยื่อประจำ...)

ภายใต้ความเฉยเมยของมิฮารุนั้น คือ ความหวาดหวั่นต่อสายสัมพันธ์ที่อาจจะย้อนมาทำให้ตนเองต้องเจ็บปวด ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่ามิฮารุมักจะอยู่คนเดียว และไม่สนใจที่จะเชื่อมสัมพันธ์กับใครทั้งนั้น

เรื่องราวของมิฮารุที่มีบุคลิกเช่นนี้ ควรจะจบลงที่คำว่าราบเรียบและธรรมดา แต่ไม่ใช่เลย...

ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมดเมื่อมิฮารุกลายเป็นผู้ครอบครอง “ชินระบันโช” ศาสตร์ของนินจาที่ว่ากันว่าบรรจุความรู้ทั้งหมดทั้งมวลเอาไว้ หากได้ครอบครองชินระบันโชและใช้มันได้ การเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้หรือแม้แต่การครองโลกก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป

เพียงแต่การใช้ชินระบันโชไม่ได้ง่ายอย่างนั้น คงไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากหากขอให้นึกถึงสัจธรรมของโลก ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง หรือบางครั้งอาจไม่ได้อะไรเลยแม้สูญสิ้นทุกสิ่งไปแล้ว ยิ่งโลภเท่าไรก็ยิ่งพาตนไปสู่หายนะ

ในอดีตที่ผ่านมา ผู้ครอบครองชินระบันโชและพยายามใช้มันต้องตายไปเนื่องจากสมองมนุษย์ไม่สามารถรองรับความรู้อันมากมายมหาศาลนั้นเอาไว้ได้ ยิ่งปรารถนาในสิ่งที่ยากจะเป็นจริงก็ยิ่งเสี่ยงต่อชีวิตของตนเองมากขึ้นเท่านั้น

มิฮารุไม่สนใจชินระบันโช หรือพูดง่ายๆ ก็คือมิฮารุไม่มีสิ่งที่ปรารถนาขนาดที่ต้องใช้ชินระบันโช เขาพยายามหลบเลี่ยงทุกอย่าง แต่ความวุ่นวายก็ยังไล่ตามมาตลอด



จากเด็กน้อยที่กลัวว่าตนเองจะต้องเจ็บปวด กลัวว่าจะทำให้คนอื่นต้องเจ็บปวด เริ่มพัวพันกับเรื่องเหล่านี้จนถึงขั้นเห็นคนตายตรงหน้า และเกือบจะต้องเสียตาข้างหนึ่งไปเมื่อได้พบกับยมทูตของนินจากลุ่มไคโรชู “โยอิเตะ”


โยอิเตะผู้ไม่มีที่มาที่ไป รู้ก็แต่ว่าเจ้าตัวเป็นกำลังสำคัญของไคโรชู เนื่องจากเป็นผู้ใช้ศาสตร์ลับที่มีชื่อว่า “คิระ” แม้จะเป็นเด็กหนุ่มที่มีหน้าตาสวยหวาน แต่ก็เป็นยมทูตที่ได้สังหารผู้คนไปมากมายแล้ว

แต่ก็เหมือนจะเป็นอีกธีมหนึ่งของเรื่องนี้ ที่ว่าคนเราไม่มีทางได้สิ่งใดมาโดยไม่ต้องเสียอะไรไปเลย

ศาสตร์ลับที่ใช้คร่าชีวิตคนได้อย่างง่ายดายนั้น ก็บั่นทอนชีวิตของผู้ใช้ด้วยเช่นกัน

แล้วคนประเภทไหนกันที่จะยอมแลกชีวิตของตัวเองเพื่อคร่าชีวิตคนอื่น มิหนำซ้ำยังไม่ใช่การฆ่าด้วยความต้องการหรือเพื่อประโยชน์ของตนเองอีกด้วย


ตั้งแต่แรกนั้น ตัวโยอิเตะมีแต่ปริศนาอันมืดดำและเค้าลางของหายนะที่โอบล้อมเอาไว้

หลังจากได้พบกันอย่างไม่ค่อยสวยงามในครั้งแรก โยอิเตะก็ตามไปถึงบ้านของมิฮารุ และลากพาอีกฝ่ายออกมาเจรจาข้อตกลงกันอย่างลับๆ โยอิเตะรักษาดวงตาคืนให้และให้เลือกระหว่างความตาย กับช่วยชีวิตของเพื่อนด้วยการช่วยโยอิเตะ

เพื่อที่จะรักษาชีวิตของเพื่อนๆ ที่โยอิเตะใช้เป็นตัวประกันเอาไว้ มิฮารุจึงจำต้องตอบตกลงไป

บางทีตอนนั้นมิฮารุอาจจะเจ็บแค้นใจอยู่บ้างก็ได้...แต่เราแน่ใจว่า เขาจะไม่มีวันเสียใจ และนั่นจะต้องเป็นทางเลือกที่สำคัญที่สุด ที่มิฮารุจะไม่มีวันเปลี่ยนใจแม้มีโอกาสกลับไปเปลี่ยนแปลงได้ก็ตาม

มิฮารุและโยอิเตะผูกมัดกันและกันเอาไว้ด้วยข้อตกลงที่รู้กันเพียงสองคน นั่นก็คือ เมื่อใช้ชินระบันโชได้ มิฮารุจะต้องใช้มัน “ลบตัวตน” ของโยอิเตะออกไปจากโลกใบนี้

มานั่งนึกดูแล้ว นั่นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย การลบคนคนหนึ่งออกไปจากประวัติศาสตร์ จากห้วงเวลา ก็เหมือนกับการเปลี่ยนอดีตทั้งหมด อาจจะมากพอๆ หรือมากยิ่งกว่าความปรารถนาที่จะชุบชีวิตคนคืนมาเลยก็เป็นได้


ความต้องการที่ “อยากจะหายไป” จากโลกใบนี้ของโยอิเตะนั้นรุนแรงมาก และกลายเป็นคำอธิบายได้ถึงการไม่รักชีวิตตัวเองถึงขนาดใช้คิระได้อย่างไม่ลังเล อดีตอันเจ็บปวดไล่ตามเด็กหนุ่มจนถึงขนาด “ไม่อยากมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้” มาตั้งแต่แรก

มิฮารุไม่เคยสนใจว่าเพราะอะไร เพราะอีกฝ่ายเป็นแค่คนที่ข่มขู่ตนเองเพื่อให้ทำตามความต้องการเท่านั้น

แต่เมื่อมีชะตาผูกพันกันแล้ว สุดท้ายสายสัมพันธ์อันแน่นหนาก็ก่อเกิดขึ้นระหว่างเด็กทั้งสองโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวเลย



คนหนึ่งไม่ปรารถนาสิ่งใด ว่างเปล่า และไร้จุดหมาย

อีกคนหนึ่งปรารถนาที่จะหายไป จมตัวเองลงในความมืดมิด และไขว่คว้าหาคนที่จะทำลายตัวเอง

เมื่อคนหนึ่งเรียนรู้อีกคนหนึ่งและค้นพบตัวตนของอีกฝ่าย มองเห็นความเหมือนและความแตกต่าง “ความรู้สึก” ก็เกิดขึ้นตามมา ความเฉยเมยและการวางเฉยต่อทุกสิ่งค่อยๆ เลือนหายไป

รู้ตัวอีกที มิฮารุก็ไม่สามารถปล่อยมือจากโยอิเตะได้แล้ว

ไม่ว่าจะเริ่มต้นขึ้นด้วยความเห็นใจ ความสงสาร หรือความเข้าใจ แต่เราคิดว่านั่นคือ “ความรัก” ที่ลึกซึ้งมาก


ถ้าฆ่าโยอิเตะ...ฉันจะฆ่าตัวตาย...!


ถึงเป็นเพียงคำขู่เพื่อไม่ให้โยอิเตะต้องตาย...แต่ชั่วขณะหนึ่งที่กลับ รู้สึกได้ว่ามิฮารุอาจจะทำจริงๆ...(หรือไม่อย่างนั้นก็อาจจะรอใช้ชินระบันโช เลยก็ได้...)

เพราะมิฮารุจะช่วยทำให้ความปรารถนาของตนเป็นจริง โยอิเตะจึงปกป้อง แต่แล้วความปรารถนาของโยอิเตะก็กลายมาเป็นจุดมุ่งหมายของมิฮารุ ไม่ช้าทั้งสองต่างก็ทำเพื่อกันและกันด้วยหัวใจ

แน่นอนว่าชีวิตของทั้งสองคนไม่มีอะไรง่าย...เมื่อมีอำนาจอันยิ่งใหญ่ขนาด ครองโลกได้ปรากฏขึ้นก็ย่อมต้องเกิดการแย่งชิง ทว่าผู้ที่ต้องการจะครอบครองชินระบันโชจริงๆ กลับมีเพียงกลุ่มไคโรชูที่นำโดยฮัตโตริ โทจูโร่เท่านั้น

เพื่อที่จะลบโยอิเตะออกไปนั้นทำให้ทั้งสองคนต้องแอบเคลื่อนไหวอยู่เงียบๆ แต่ก็เป็นแบบนั้นได้ไม่นาน สุดท้ายก็กลายเป็นคนทรยศของกลุ่มไคโรชูไป

...ไม่อยากตาย...

ตอนที่ได้ยินคำนี้จากโยอิเตะ มันสั่นสะเทือนเข้าไปในใจเลยค่ะ...ดูเรื่องนี้แล้วร้องไห้ได้ตลอด (ฮา อีโมโคตรๆ) คนที่ถึงกับใช้ศาสตร์ลับคิระเพื่อบั่นทอนชีวิตตัวเอง มาบัดนี้เขา “ไม่อยากตาย” แล้ว


ถามว่า อะไรที่ทำให้โยอิเตะเจ็บปวดเวลาที่มีใครมาทำดีด้วย

ก็เพราะว่ามันสายเกินไปแล้ว...

ในความเป็นโยอิเตะนั้น...เขาเกลียดตัวเอง และคิดว่าตัวเองควรจะหายไปจากโลกใบนี้ แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะฆ่าตัวตาย เพราะรังเกียจตัวเองจึงสามารถทำเรื่องเลวร้ายอย่างการคร่าชีวิตผู้อื่นได้ ในทางหนึ่งก็เหมือนเป็นการลงโทษตัวเองด้วย โยอิเตะมีแต่จะเดินเข้าไปในความมืดมิด ด้วยว่าตัวเขาได้ละทิ้งทุกอย่างแล้ว และสิ่งเดียวที่ต้องการ ก่อนจะได้พบมิฮารุ ก็คือ “ความตาย”

ถ้าหากมีคนมาทำดีด้วย...แน่นอน มันจะเจ็บปวดมาก...

เพราะเหมือนกับถูกทำให้อยากมีชีวิตอยู่ ทั้งๆ ที่สมควรตาย...

เราคิดว่าโยอิเตะรู้ตัวอยู่เสมอว่าทำอะไรลงไปบ้าง และรู้ด้วยว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเลย

ขณะที่ศาสตร์ลับทำให้โยอิเตะค่อยๆ สูญเสียประสาทสัมผัสต่างๆ ไปทีละนิด ทั้งสองก็ยังต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อทำให้ความปรารถนาเป็นจริง มันน่าปวดใจตรงที่ว่าโยอิเตะ “ไม่อยากตาย” อีกต่อไปแล้ว แต่ตัวเขาก็ไม่สามารถทนอยู่ต่อไปได้ด้วยทั้งหมดทั้งสิ้นที่ตนเองได้กระทำมา

จนเกือบถึงตอนสุดท้าย โยอิเตะก็ยังถูกทำร้ายให้เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสด้วยการถูกฮัตโตริพูดใส่ว่า ที่เรื่องทั้งหมดลงเอยอย่างนี้ก็เพราะโยอิเตะ เราในฐานะผู้ชมที่เป็นบุคคลที่สามคงสามารถเถียงได้ในทันทีว่าไม่ใช่สักหน่อย แต่สำหรับโยอิเตะแล้วเขาไม่สามารถปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นได้ เพราะเขาจมอยู่กับความคิดและความรู้สึกผิดบาปเหล่านั้นอยู่แล้ว

มันน่าเศร้าที่ว่า...โยอิเตะไม่สามารถมีความสุขได้ ด้วยสำนึกในสิ่งเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา

อดีตที่นายละทิ้งมากับช่วงเวลาที่นายคงอยู่ตอนนี้..

นายเกลียดโลกแบบไหนมากกว่ากันล่ะ?

ในตอนที่ไรโคถามออกมาอย่างนี้ โยอิเตะไม่ได้ตอบออกมาตรงๆ ได้แต่เอ่ยแต่ถ้อยคำที่เหมือนกับสะกดจิตตัวเองด้วยซ้ำไป ว่าให้เชื่อในสิ่งที่ได้กระทำลงไปแล้วว่าถูกต้องและเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนหนึ่งเขาก็คงคิดว่าไม่เป็นไร ไม่มีอะไรที่สายไป...เพราะเดี๋ยวมันก็จะจบลงแล้ว

...เดี๋ยวมิฮารุก็จะลบเขาออกไปจากโลกใบนี้ และความชั่วร้ายเหล่านั้นก็จะหายไปด้วยเช่นกัน...


เมื่อถึงตอนสุดท้าย...คำถามของไรโคอันนั้นก็คงจะได้คำตอบแล้ว

ตอนที่มิฮารุไปหาโยอิเตะในโบสถ์และถามถึงความต้องการของโยอิเตะอีกครั้ง

มิฮารุบอกว่า ไม่ได้ต้องการให้โยอิเตะหายไป...แต่ถ้าโยอิเตะต้องการ มิฮารุก็จะใช้ชินระบันโชทำให้ความปรารถนานั้นเป็นจริง แม้ว่าตัวของมิฮารุเองก็รู้อยู่แล้วว่าการใช้ชินระบันโชนั้นอันตรายต่อชีวิต ของเขาเช่นกัน บางทีตอนนั้นมิฮารุก็คงไม่สนใจแม้แต่ชีวิตของตัวเองแล้ว

อย่างที่บอกว่าระหว่างสองคนนี้ เราเชื่อมั่นว่ามันคือความรัก และถึง ณ จุดนั้นแล้ว มันเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนแล้วค่ะ

โยอิเตะเลือกที่จะเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้...


การที่ต้องทนอยู่กับอดีตอันเจ็บปวด และแบกรับปัจจุบันอันหนักอึ้งเอาไว้ ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ ยิ่งโลกเราปัจจุบันแล้ว มีคนที่หักใจหนีโดยอาศัยความตายเป็นเครื่องมือกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ...

มิฮารุบอกไปอีกว่าจะให้ลบแค่เรื่องที่โยอิเตะเป็นผู้ใช้คิระออกไปก็ได้ แต่โยอิเตะก็ปฏิเสธ และบอกว่าจะให้ลบไม่ได้


...ก็เพราะว่าเป็นตัวโยอิเตะที่เป็นอยู่ตอนนี้...

ถึงทำให้ได้พบกับมิฮารุ และได้พบกับทุกๆ คน...




ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนจริงๆ เป็นแค่คาแร็คเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้น แต่พอได้เห็นความกล้าหาญในตอนสุดท้ายของโยอิเตะแล้ว ก็ทำให้รู้สึกว่า “อยากจะมีชีวิตอยู่”




ฉันอยากรู้สึกมาตลอด

ถึงความอบอุ่นที่ซึมซาบผ่านมือนี้ว่ามันเป็นของเธอ บางสิ่งที่ฉันค้นพบกับเธอ

แต่ละสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงค่อยๆ เปลี่ยนแตกต่างไป

อย่างที่เป็นอยู่นี้ ฉันจะรับทั้งหมดนั้นเอาไว้ให้เอง



Aru ga Mama – Anamu & Maki

Nabari no Ou [Ending Theme 2]



เรื่องที่เป็นอยู่จริง...ก็คือคนเราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้...

Nabari no Ou ได้แสดงให้เห็นว่า หากมีโอกาสให้กลับไปแก้ไขสิ่งใดก็ได้แล้ว คนเราจะเลือกทางไหน



เมื่อดูจบแล้ว เราก็อดคิดไม่ได้ว่า แท้จริงแล้วที่ชีวิตของคนเรามีความหมาย ก็เพราะว่าเราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขมันได้นั่นล่ะ...

อดีต ไม่ใช่สิ่งที่เราต้อง “ทน” อยู่กับมัน แต่เป็นสิ่งที่เราใช้ “เรียนรู้” ถึงแม้ต้องเจ็บปวดเมื่อนึกถึง



แสงที่เชื่อมกับคำอธิษฐานอันแสนไกล

จะต้องนำความหวังและความกล้าหาญมาให้อย่างแน่นอน

แทนที่จะคอยนับวันเวลาที่ผ่านเลยไปแล้ว

จากนี้ มาสร้างช่วงเวลาของเราไปด้วยกันเถอะนะ



Hikari - ELISA

Nabari no Ou [Ending Theme 1]



การหายไป หรือการตายจาก เป็นเรื่องง่าย และเป็นเพียงแค่การหลีกหนีจากสิ่งที่ตนเป็น

การจมอยู่กับอดีตไม่ได้ช่วยอะไรเรา ที่โลกนี้มีกาลเวลา ไม่ใช่เพื่อให้เราคิดถึงแต่สิ่งที่ผ่านไปแล้ว แต่เพื่อให้เราเดินต่อไปตามกระแสเวลานั้นและทำทุกอย่างอย่างเต็มที่เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียดายและกลับไปจมอยู่กับสิ่งที่แก้ไขไม่ได้อีกต่อไปแล้วต่างหาก



あるがまま

Just as it is…

อย่างที่เป็นมา...



เป็นชื่อปิดเพลงที่สองของ Nabari no Ou...

วลีสั้นๆ นี้ บอกให้เรามีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่



สิ่งที่ได้จากโยอิเตะนั้น สำหรับเราแล้วมันมากมายเหลือเกินค่ะ...ทั้งความกล้าหาญที่จะยอมรับและเผชิญ หน้ากับสิ่งที่ตนเองเป็น รวมทั้งการมองให้เห็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเป็นตัวของเราในวันนี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอื่นเป็นได้

แม้เป็นความผิดพลาด แต่ถ้าไม่มีมันอยู่ ก็จะไม่มีตัวเราในวันนี้

ทั้งความสำเร็จหรือความผิดหวังเป็นเรื่องธรรมดาของเราทุกคน แม้ว่าจะหนักหนาสาหัสต่างกัน แม้ว่าจะไม่อาจเทียบกันได้ แต่เราล้วนเผชิญในสิ่งเดียวกัน



ความเป็นจริงแต่ละอย่างเข้าปะทะกันและเริ่มกลายเป็นความโกลาหล

หากทุกคนต่างก็เสียน้ำตาให้กับสิ่งเดียวกัน



Aru ga Mama – Anamu & Maki

Nabari no Ou [Ending Theme 2]



แม้แก้ไขไม่ได้ ก็อย่าให้มันหยุดเราเอาไว้...จงเงยหน้าขึ้นเดินต่อไป อย่ายอมแพ้ เพราะสักวันจะต้องมีวันที่เป็นของเรา ขอเพียงเรียนรู้ที่จะมีความสุข



หากว่าคำขอไม่อาจเป็นจริงและเธอต้องเจ็บปวด

ขอเพียงแค่เธอเริ่มต้นใหม่อีกครั้งจากตรงนั้น ไม่ว่าจะกี่ครา

ก็เพราะว่าไม่ได้มีคำตอบเพียงคำตอบเดียว

และสักวันหนึ่งเธอจะต้องได้พบกับความสุขแน่นอน



Hikari - ELISA

Nabari no Ou [Ending Theme 1]



ช่วงที่เหลือในตอนที่ 26 ซึ่งเป็นตอนสุดท้าย เราไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้

ไม่ใช่ว่าเศร้าเสียใจ เมื่อคิดว่าโยอิเตะกำลังจะเป็นอย่างไร

แต่เพราะว่าเราเห็นว่าเขามีความสุขแล้ว...

ในที่สุด เขาก็ได้สัมผัสความสุข...


ได้สัมผัสกับความเป็นมนุษย์ - สายสัมพันธ์ - เพื่อน - และครอบครัว


มีทุกคนอยู่พร้อมหน้า


และเขายิ้มให้เห็นเป็นครั้งแรก...



จริงๆ มันอาจเป็นการปลงแบบหนึ่งใช่มั้ย? (ฮา)

แต่แค่นี้ก็พอแล้วจริงๆ...



หลับฝันดีนะ โยอิเตะคุง...





สักวันหนึ่ง เราอาจไม่ได้เจอกันอีกแล้ว แม้ว่าฉันจะปล่อยมือนี้ไป

แต่ฉันจะไม่ลืม เพราะฉันไม่มีทางลืมว่าตัวเองเคยโบยบินไปยังที่ใดก็ได้ได้อย่างไร



Aru ga Mama – Anamu & Maki

Nabari no Ou [Ending Theme 2]


*credit : http://zakuro.exteen.com/20081226/nabari-no-ou


-----------------------------------------------------------------------------------------------


http://img399.imageshack.us/img399/3935/8417te0cn4.jpg



ความรักของหมู่เลือดแต่ละหมู่




*credit

คนวาด : Realcrazyman [ 쳐돌았군맨 ]

( http://www.cyworld.com/realcrazyman )

แปลไทย : คุณภูมิ ( http://povolam.exteen.com )


บทความที่ใหม่กว่า บทความที่เก่ากว่า หน้าแรก